วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เช็คระดับความอ้วนและภาวะเสี่ยง






การจะประเมินว่าอ้วนหรือไม่ เรามิได้ประเมินจากการดูด้วยสายตาอย่างเดียว
แต่จะประเมินจาก ดัชนีมวลกาย ซึ่งสัมพันธ์กับปริมาณไขมันในร่างกาย
มีวิธีการประเมินง่ายๆแต่ได้ผลดีได้แก่
  • ดัชนีมวลกาย BMI (body mass index)
  • วัดเส้นรอบเอว Waist circumference
ดัชนีมวลกาย BMI (Body Mass Index)

การวัดปริมาณไขมันในร่างกายเป็นเรื่องที่ต้องใช้เครื่องมือในการวัด

 จึงใช้ดัชนีมวลกายมาวัด ค่าที่ได้มีความแม่นยำพอสมควร
และสัมพันธ์กับปริมาณไขมันในร่างกาย วิธีวัดก็สะดวก




สูตรการคำนวณดัชนีมวลกาย
ดัชนีมวลกาย BMI = น้ำหนัก (กก)

ส่วนสูง (ม)²

MI สามารถวัดได้ง่ายโดยวัดส่วนสูงและน้ำหนักและคำนวณตามสูตร
โดยใช้น้ำหนักและส่วนสูงค่านี้
 จะมีความสัมพันธ์กับปริมาณไขมันในร่างกาย
ข้อระวัง BMI ใช้ประเมินปริมาณไขมันในผู้ที่มีกล้ามมากๆไม่ได้
 และประเมินในผู้ที่กล้ามเนื้อลีบจากสูงอายุไม่ได้

ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีมวลกาย ระดับความอ้วน และภาวะเสี่ยง
ภาวะเสี่ยงต่อโรค
น้ำหนัก
BMI
กก/ตารางเมตร
Obesity class
ระดับความอ้วน
เส้นรอบเอว
ชาย < 40 นิ้ว
หญิง < 35 นิ้ว
ชาย > 40 นิ้ว
หญิง > 35 นิ้ว
น้ำหนักน้อย <18.5 --- ---
น้ำหนักปกติ 18.5-24.9 --- ---
น้ำหนักเกิน 25-29.9 เพิ่ม สูง
โรคอ้วน 30-34.9 1 สูง สูงมาก
35-39.9 2 สูงมาก สูงมาก
อ้วนมาก >40 3 สูงมากๆๆ สูงมากๆๆ

  • ภาวะเสี่ยงต่อโรค หมายถึงภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่สอง ความดันโลหิตสูง
          และโรคหัวใจและหลอดเลือด ไขมันในเลือดสูง
  • ผู้ป่วยที่มีเส้นรอบเอวมากแม้ว่า BMI จะปกติก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเช่นกัน
         จะเห็นได้ว่าท่านที่มีดัชนีมวลกายตั้ง 25 ขึ้นไปโดยเฉพาะมีเส้นรอบเอวมากว่า
         40 นิ้วในชาย 35 นิ้วในหญิงจะต้องเริ่มรักษาอย่างจริงจัง

      วัดเส้นรอบเอว Waist circumference



ค่ารอบเอวที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
  • ชาย >40 นิ้วหรือ 102ซม.
  • หญิง > 35 นิ้วหรือ 88 ซม.

  • การวัดเส้นรอบเอวจะมีความสัมพันธ์กับปริมาณไขมันในอวัยวะภายในช่องท้อง
         หากมีไขมันช่องท้องมาก จะพบว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
        มากกว่าไขมันที่อยู่ตามแขนหรือขา ผู้ที่มีดัชนีมวลกายเกิน แต่เส้นรอบเอวไม่เกิน
        กลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อโรคไม่มาก
  • วิธีการวัดเส้นรอบเอว วัดรอบเอวระดับกึ่งกลางกระดูกสะโพกส่วนบนสุด
         และขอบล่างของกระดูกซี่โครงให้ขนานกับพื้น และต้องวัดขณะหายใจออกเท่านั้น



TrimOne ทริมวัน สูตร Slimsafe เพียงทา พาเพรียว นวดครั้งเดียว เพรียวทันใจ
       หุ่นเพรียว กระชับ อย่างปลอดภัย ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ TrimOne Lotion ทริมวัน โลชั่น กระชับผิว เชฟ เฟิร์มมิ่ง โลชั่น ครีมกระชับผิว สูตรเพิ่มประสิทธิภาพ เน้น การเผาผลาญไขมันส่วนเกิน เพื่อความเพรียวบางของต้นแขน ต้นขา เอว และสะโพก เนื้อบางเบา ซึมง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะ ช่วยให้ผิวกระชับ เพียงลูบไล้ TrimOne โลชั่น ให้ชุ่มและทั่วบริเวณที่มีส่วนเกิน หรือ เซลลูไลท์ วันละ 2 ครั้ง หลังอาบน้ำ เช้า – เย็น ยิ่งใช้มากจะได้ผลเร็วยิ่งขึ้น

ปลอดภัย ไม่อ้วนกลับ ด้วย TrimOne Lotion คลิกเพื่อดูภาพขยาย





unique graphics






รอบรู้เรื่องสารสกัดจากธรรมชาติ



L - Glutation
ทำให้ผิวหน้าขาว หน้าใส สีผิวสม่ำเสมอเนียนใส ป้องกันและลดการเกิดสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ
Collagen
จากปลาทะเลลึก ช่วยทำให้ผิวดูเรียบเนียน เปล่งปลั่งไร้ริ้วรอย พร้อมบำรุงให้เนียนนุ่มชุ่มชื้น
Vitamin C
ช่วยเสริมสร้างชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิว ทำให้ผิวหน้าขาวใสลดการเกิดจากจุดด่างดำ และฝ้า
Alpha Lipoid Acid (ALA)
ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว ลดขนาดรูขุมขน ลดการทำลายจากรังสียูวี ลดริ้วรอยทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้น
Tomato Extract
สารสกัดจากมะเขือเทศ ช่วยปรับผิวให้นุ่มชุ่มชื้น สุขภาพผิวแข็งแรง
Grape Seed Extract
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น ช่วยการไหลเวียนของเลือดต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิวพรรณ
ลดความเข้มของสีผิวบริเวณที่ดำคล้ำลงผิวหน้าดูกระจ่างใส
Vitamin E
ช่วยลดอาการไหม้จากแสงแดด ช่วยลดริ้วรอยและทำให้ผิวหน้าชุ่มชื่น
Pine Bark Extract
สารสกัดจากเปลือกสน ช่วยสร้างความสมดุลให้เซลล์ผิวหนัง คืนความยืดหยุ่น ผิวเนียนสวย
ความเข้มของฝ้า กระ จางลงและเลือนหายไป
Co-Enzyme Q10
โคเอมไซม์คิวเท็น ช่วยทำให้ผิวพรรณมีความสมบูรณ์แข็งแรง ชุ่มชื่น เนียนใส

กลูตาไธโอน ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ต้านการเสื่อมของเซลล์ผิว ส่งผลให้ผิวหน้า ขาวสวยใส เปล่งปลั่งไร้รอยด่างดำ รวมถึงผิวทั่วเรือนร่าง เช่นใต้วงแขน บริเวณขอบชุดชั้นใน ริมฝีปาก และบริเวณหัวนม ให้ขาวอมชมพู
สารสกัดจากเปลือกสนทำให้ผิวขาวใส โดยลดปฏิกิริยาของผิวหนังเมื่อถูกแสงแดด ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ลดขนาดและความเข้มของฝ้า กระและช่วยปรับสภาพผิวให้กลับขาวใสขึ้น เนื่องจากเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์ได้แรง
สารสกัดจากเมล็ดองุ่นในเมล็ดองุ่นมีสารบางชนิด ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ทำให้เนื้อเยื่อโครงสร้างผิวแข็งแรง ปกป้องเนื้อเยื่อโครงสร้างผิวจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ลดการเกิดริ้วรอย ลดความหยาบกร้าน หมองคล้ำ ทำให้ผิวใส เรียบเนียน
ชาเขียวสกัด
ปกป้องและรักษาผิวจากการทำลายของมลภาวะ โดยเฉพาะแสงแดด ช่วยฟื้นฟูและปรับสภาพผิว ให้กลับคืนสู่สภาพปกติ ช่วยให้ผิวขาวขึ้น ช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วรอย
โคเอนไซม์คิวเทน
ช่วยลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว บำรุงผิวให้แข็งแรง ลดการเกิดริ้วรอย ด้วยการเร่งการผลิตคอลลาเจน ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ เพิ่มความชุ่มชื้นให้เซลล์ผิว ทำให้ผิวยืดหยุ่นแข็งแรง
วิตามินซีเสริมสร้างคอลลาเจน ช่วยลดการเกิดริ้วรอย ลดการถูกทำลายของเซลล์ผิวจากอนุมูลอิสระ ช่วยคงความแข็งแรงของผิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวและเผยผิวขาวเนียนสดใส
สารสกัดจากมะเขือเทศ
ลดรอยดำ และความหมองคล้ำจากผลกระทบโดยตรงหรือโดยทางอ้อมจากแสงแดด ลดการถูกทำลายของผิว ช่วยปกป้องจาการทำลายของอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเกิดริ้วรอย เสริมฤทธิ์กับชาเขียวเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว
วิตามินอี
เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดเลือนริ้วรอย
ซีลิเนี่ยม
ลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ทำงานเสริมกับวิตามินซี และ วิตามินอี
รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าใครอยากมีผิวหน้าขาวใส ลองมองหาสารหรือตัวยาที่แนะนำมาใช้กันดูได้.
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ลโอฟิลไลซ์  คอลลาเจน  ไฮโดรไลเซท #  คอลลาเจนที่ผ่านกระบวนการชนิดพิเศษ   ลิขสิทธิ์เฉพาะจากอเมริกา
ซึ่งประกอบไปด้วยกรดอะมิโนจำนวน 18 ชนิด   ที่ช่วยลดความอ้วนในขณะที่คุณนอนหลับ
ทำให้ไขมันสะสมลดลงมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น   และส่วนเกินต่างๆของร่างกายจะลดลง  รูปร่างกระชับขึ้น


แอล-คาร์นิทีน
  #  เป็นกรดอะมิโนที่มีบทบาทสำคัญในการเร่งการผลาญพลังงาน   โดย


การนำกรดไขมันอิสระและไขมันสะสมไปเผาผลาญให้เป็นพลังงาน   เสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ

ให้กระชับ   เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตบริเวณเส้นเลือดเล็กๆ   ทำให้การลำเลียงออกซิเจนไป

ยังส่วนต่างๆของร่างกายดีขึ้น

จึงเสริมประสิทธิภาพการเผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงานได้ดียิ่งขึ้น

เคลป์  #  อุดมไปด้วยวิตามิน   และแร่ธาตุสำคัญ    ที่ช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพการเผา


ผลาญพลังงานได้ดียิ่งขึ้น

แมงกานีส  #  ช่วยส่งเสริมการทำงานของแร่ธาตุโครเมี่ยม   ทำให้ร่างกายเพิ่มอัตราการเผา


ผลาญไขมันให้กลายเป็นพลังงานมากขึ้น   และกระตุ้นให้ร่างกายใช้พลังงานอย่างรวดเร็ว

โครเมียม พิโคลิเนท  #  สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้เป็นอย่างดี   ทำให้ร่างกายนำไปใช้


ประโยชน์ได้มากกว่ารูปแบบอื่นๆ  ช่วยเร่งการเผาผลาญแป้ง  และน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน  

 อีกทั้งยังช่วยยับยั้งความอยากอาหารโดยนำน้ำตาลในเลือดมาใช้เป็นพลังงาน สำรอง

 วิตามินบี 6  #  มีส่วนสำคัญในขบวนการเผาผลาญไขมันส่วนเกินของร่างกายเพื่อเสริมสร้าง


มวล กล้ามเนื้อทำงานร่วมกับ แอล-คาร์นิทีน   เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญไขมันให้ดี

ยิ่งขึ้น

ไนอะซิมาไมด์  #  มีส่วนร่วมในการเผาผลาญ   คาร์โบไฮเดรต  ไขมัน  โปรตีน  ช่วยลดไขมัน


และคอเลสเตอรอล







web counting






วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทำอย่างไรให้สวยทุกวันอย่างนางสาวไทย


เคล็ดลับทำให้สวยใสตลอด 24 ชม. 
    
เรื่องความสวย ความงาม กับผู้หญิงเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ออกจริง ๆ วันนี้เราก็มีเคล็ดลับที่จะทำให้สวยใสตลอด 24 ชม.มาฝากกัน



6.00-8.00 น. 

ลดอาการหน้าบวม
ในช่วงเช้าเป็นเวลาที่ผิวหน้าจะบวมเป่งที่สุด ซึ่งเกิดจากการทำงานของต่อมน้ำเหลืองยังไม่ตื่นตัวเต็มที่ วิธีแก้ไขคือขยิบตาสัก 20 ครั้งเพื่อกระตุ้นขับถ่ายของเหลวออกมา หรืออาจใช้วิธีธรรมชาติ เช่น วางแตงกวาชิ้นบาง ๆ ที่ผ่านการแช่เย็นม่าแล้วทั้งคืน (ไม่ใช่แช่แข็ง จนแตงกามีน้ำแข็งเกาะนะ เอาแค่เย็น ๆ พอ) บนเปลือกตาและนอนนิ่งสัก 2-3 นาที ถ้ามีเวลาว่างอาจใช้ถุงชาวางทับบทเปลือกตาสัก 10 นาที แค่นี้ตาของคุณก็จะสดชื่นหายบวมแล้วล่ะ
ล้างหน้าเบา 
คุณคงไม่ต้องล้างหน้าหนักหน่วงในตอนเช้า ถ้าคุณได้ทำความสะอาดหน้าในตอนก่อนนอนแล้ว แต่คุณยังต้องการขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วซึ่งสะสมบนผิวมาทั้งคืน ด้วยการนวดหน้าเป็นวงกลมเบา ๆ ขณะล้างหน้า ไล่ตั้งแต่ปลายคาง ขึ้นไปที่แก้ม หน้าผาก และสุดท้ายที่การใช้นิ้วนางนวดไปรอบ ๆ ดวงตา
บำรุงผิวด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ทันที
ไม่คุณจะล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า หรือโฟม ก็ควรบำรุงผิวหน้าทันทีด้วยมอยส์เจอร์เพื่อให้ผิวหน้าไม่แห้งตึง และอยาลืมทาครีมกันแดดด้วยล่ะ
13.00 น. 
เลี่ยงแสงแดด
แสงแดดเป็นตัวทำลายผิวและยิ่งเป็นแสงแดดในช่วงนี้แล้วด้วยถือว่ารุนแรงที่สุดเลยล่ะ เราจึงควรหลีกเลี่ยง แต่ถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็ควรหาเครื่องป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นหมวก ร่ม หรือกางใส่เสื้อแขนยาว
15.00 น.
เพิ่มความสดชื่น
ถ้ารู้สึกว่าหน้ามันเยิ้มในช่วงบ่าย ก็ควรเรียกผิวที่สดชื่นกลับมาอีกครั้ง ซึ่งคุณควรพกโทนเนอร์หรือสเปริตเซอร์สำหรับผิวหน้าไว้เป็นประจำ ถ้าคุณใช้รองพื้น ให้ใช้กระดาษซับมันส่วนเกินออก โดยเฉพาะถ้าจะเติมเครื่องสำอาจในตอนบ่าย




20.00-23.00 น.

บำรุงผิว 
ผิวจะซึมซับได้ดีในช่วงค่ำเพราะอุณหภูมิในร่างกายจะสูงและผิวกหนังชั้นบนจะขยายกว้างมากกว่าเดิม ซึ่งทำให้สารต่าง ๆ เข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้นเวลานี้เหมาะสำหรับทำความสะอาดผิวและบำรุงผิว
เพิ่มความชุ่มชื่นก่อนนอน
ควรทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ก่อนนอนด้วย เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว เพราะผิวจะเสียความชุ่มชื่นมากที่สุตอนกลางคืน และจะลดลงเรื่อยๆจนถึงเที่ยงของอีกวัน ผิวจึงจำเป็นต้องได้รับความชุ่มชื่นเป็นพิเศษจากมอยส์เจอร์ไรเซอร์
นอนหลับสนิท
การนอนหลับอย่างเต็มอิ่มจะส่งผลให้ผิวดีขึ้นได้ เพราะกลไกซ่อมแซมผิวจะทำงานเวลาคุณนอนหลับ


” AsianLifeOnline ”








ทำความรู้จักกับ คอลลาเจน (Collagen)



Collagen คืออะไร

คอลลาเจน (Collagen) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคือ Kolla แปลว่า “กาว”


     เพราะเป็นโมเลกุลของโปรตีนที่มี Polypeptide 3 สายประกอบกันเป็นเกลียวเส้นใย มีหน้าที่สำคัญในการเชื่อมและยึดจับเซลล์เนื้อเยื่อเข้าด้วยกัน เช่น เส้นเอ็น ข้อต่อกระดูกต่างๆ รวมถึงช่วยเสริมการสร้างเนื้อเยื่อและเส้นเลือด สามารถพบได้ทั่วไปในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยมีปริมาณถึงร้อยละ 33 ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกาย 

     การสังเคราะห์คอลลาเจนเกิดในชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ซึ่งมีเซลล์ชื่อไฟโบรบลาสท์(Fibroblast) กระจายอยู่ทั่วและทำหน้าที่ผลิตสาระสำคัญต่อผิว 3 ชนิดคือ 1.คอลลาเจน (Collagen) ช่วยให้ผิวตึง กระชับ  2.อิลาสติน (Elastin) ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และ 3.กรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น เอิบอิ่ม โดยรวมแล้วในชั้นผิวหนังแท้จะมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบมากที่สุดถึง 75% เลยทีเดียว


Collagen มีกี่แบบ
ในปัจจุบันแบ่งคอลลาเจนออกเป็น 29 รูปแบบ แต่มากกว่า 90% ของคอลลาเจนใน   ร่างกายจะมีอยู่ใน 4 รูปแบบต่อไปนี้

     ในวัยเด็กเราจะมีคอลลาเจน Type III มากที่สุด ผิวของเด็กจึงดูนุ่มเนียน เต่งตึงสะดุดตากว่าวัยไหนๆ  แต่เมื่อเราโตขึ้นคอลลาเจน Type I ก็จะถูกสังเคราะห์ขึ้นมาแทนที่ จนกระทั่งอายุ 25 ปีขึ้นไป คอลลาเจนในร่างกายจะเริ่มเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ โดยลดลงในอัตรา 1.5%  ต่อปี เมื่อมีการสูญเสียคอลลาเจนมากกว่าการผลิตขึ้นใหม่ ผิวหนังจึงขาดความกระชับตึงและยุบตัวลงมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นสาเหตุของริ้วรอยและผิวพรรณแห้งกร้านตามมา
 นอกจากการเสื่อมสลายไปตามธรรมชาติแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่กระตุ้นให้คอลลาเจนเสื่อมเร็วขึ้น เช่น รังสียูวีจากแสงแดด บุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารปนเปื้อนในอาหาร อนุมูลอิสระ และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เป็นต้น 
 
Collagen กับสุขภาพ   
     
เนื่องจาก คอลลาเจน เป็นส่วนประกอบของกระดูก เอ็น และเนื้อเยื่อ ที่ทำหน้าที่ยึดเหนี่ยว ส่วนต่างๆ ในร่างกาย นักวิจัยจึงเชื่อว่าการที่ร่างกายมีคอลลาเจน อย่างเพียงพอจะช่วยลดอาการของโรคข้อต่ออักเสบ รวมถึงช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคดังกล่าวได้โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในภาวะเสี่ยง เช่น นักกีฬาที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายหนักๆ เป็นต้น ทั้งนี้การรับประทานคอลลาเจนอาจเรียกได้ว่าแทบไม่ต่างกับการรับประทานอาหารประเภทโปรตีน แต่เนื่องจากร่างกายคนเรามีปัจจัยแตกต่างกัน เช่น เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะดูดซึมสารอาหารไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้น้อยลง หรือไลฟ์สไตล์เร่งรีบที่ทำให้คนเรามีความเครียดสูง ต้องเผชิญกับมลพิษรอบตัว ไม่มีเวลารับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ฯลฯ ก็ล้วนทำให้ร่างกายมีคอลลาเจนไม่เพียงพอกับความต้องการได้ทั้งสิ้น  การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อทดแทนในส่วนที่ขาดจึงได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะมีขั้นตอนการย่อยน้อยกว่าเนื้อสัตว์ 
 
Collagen กับผิวพรรณ
     
 
นอกจากคอลลาเจนจะถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์ เช่น ลดการอักเสบของผิวหนัง ใช้เป็นไหมละลายในการผ่าตัด ใช้เป็นสารบุร่องเหงือกและใช้เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแล้ว ในวงการผิวพรรณและความงามก็นำคอลลาเจนมาใช้เป็นส่วนประกอบอย่างแพร่หลายเช่นกัน อาทิ สกินแคร์ที่มีสารไมโครคอลลาเจน (Microcollagen) และวิตามินซีช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสท์ หรือการฉีดคอลลาเจนเข้าสู่ผิวโดยตรง (Collagen Replacement Therapy)  ซึ่งทำให้ผิวเรียบตึงขึ้นได้ทันตา แต่ต้องฉีดซ้ำทุกๆ 6 เดือน และอาจมีผลข้างเคียงบางประการ เช่น เกิดตุ่มนูนเรื้อรังจากการฉีดในปริมาณมากเกินไป หรือเกิดอาการแพ้คอลลาเจนได้ จึงควรทดสอบการแพ้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนฉีดเสมอ
     ส่วนในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อผิวสวย นิยมใช้คอลลาเจน Type I ที่สกัดจากปลาทะเล (Bio-marine Collagen) เพราะมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับคอลลาเจนในร่างกายมนุษย์มากที่สุด ซึ่งมักนำมาตัดพันธะเคมีด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้มีโมเลกุลเล็กลงและง่ายต่อการดูดซึม เรียกว่า ไฮโดรไลซ์ คอลลาเจน (Hydrolyzed Collagen) หรือคอลลาเจน ไฮโดรไลเสท (Collagen Hydrolysate) ถือเป็นทางหนึ่งที่ช่วยเสริมคอลลาเจนให้ผิวพรรณได้ง่ายขึ้น เพราะในช่วง 2-3 ชั่วโมงแรกของการหลับ ต่อมพิทูอิตารีในสมองจะหลั่งโกรว์ธ ฮอร์โมน (Growth Hormone) สู่กระแสเลือดเพื่อฟื้นฟูส่วนต่างๆ ของร่างกาย หากมีคอลลาเจนเพียงพอก็จะช่วยในการสังเคราะห์โปรตีนเพื่อซ่อมแซมเซลล์ผิวที่สึกหรอได้ดียิ่งขึ้น และยังมีผลทางอ้อมต่อการลดน้ำหนักไปพร้อมกัน กล่าวคือเมื่อร่างกายมีการสร้างกล้ามเนื้อมากขึ้น ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญไขมันมากขึ้นด้วย การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่าการรับประทานอาหารประเภทโปรตีนในปริมาณมากก่อนเข้านอน 

 
Collagen กับตัวช่วยยังมีอีกหลายตัวช่วยที่ยืดอายุคอลลาเจนให้อยู่กับเราได้นานขึ้น ลองปฏิบัติตามเคล็ดลับดีๆ เหล่านี้ดูนะคะ 
• รับประทานอาหารอย่างเหมาะสม นอกจากทานอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้ว ควรเน้นผักและผลไม้ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน เพราะมีคุณสมบัติปกป้องและเพิ่มความแข็งแรงให้กับคอลลาเจนและอิลาสตินได้ดี
• คงความชุ่มชื่นให้เซลล์ผิว ยิ่งผิวสูญเสียความชุ่มชื่นมากเท่าไหร่ ริ้วรอยถาวรก็ปรากฏเร็วขึ้นเท่านั้น จึงควรชะลอวัยให้ผิวด้วยการใช้มอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไฮโดรไลซ์ คอลลาเจน โปรคอลลาเจน อิลาสติน เอเอชเอ หรือเรตินอล ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• ใช้ชีวิตอย่างพอดี ไม่ว่าจะใช้ผลิตภัณฑ์ดีเพียงไร การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารครบหมู่ และทำจิตใจให้แจ่มใส ก็ยังเป็นวิธียืดอายุคอลลาเจนที่สำคัญที่สุด หากรักษาสมดุลการใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสมแล้ว สุขภาพดีและผิวพรรณอ่อนเยาว์ก็จะอยู่กับเราไปอีกนานแน่นอนค่ะ

ไฮโดรไลซ์คอลลาเจนสกัดจากปลาทะเล ดูดซึมง่าย
เสริมพลังบำรุงเพื่อผิวสวยด้วยวิตามินบี 1 และวิตามินบี 2

*****************************************

คอลลาเจน...โครงสร้างของกระดูก



 เมื่ออายุมากขึ้น เราต้องการปริมาณแคลเซียมในจำนวนที่มากขี้นตามไปด้วย การรับประทานแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับโครงกระดูกอ่อนแอ แต่ในขณะเดียวกันแคลเซียมก็ไม่สามารถสร้างไขกระดูก และเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกได้โดยลำพัง แต่ต้องทำงานคู่กับ “คอลลาเจน” แบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน หากเราเปรียบเทียบโครงกระดูกของเราเป็นเสาคอนกรีต เสาแต่ละต้นก็จะต้องมีเส้นเหล็กยึดเสาคอนกรีตนั้นๆ ให้เป็นรูปทรงที่แข็งแรงและได้มาตรฐาน กระดูกก็เช่นกันจะต้องมีใยชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "คอลลาเจน" (Collagen) เพื่อทำหน้าที่ยึดโครงสร้างกระดูกไว้ เมื่อใดที่คอลลาเจนของกระดูกถูกทำลาย แคลเซียมในกระดูกที่เคยถูกยึดไว้ด้วยคอลลาเจนก็จะลดลงตามไปด้วย


            คอลลาเจน ชื่อนี้คงเป็นที่รู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีซึ่งมาจากคำว่า kolla เป็นภาษากรีก แปลว่า กาว ทำหน้าที่เป็นกาวเชื่อมเซลล์แต่ละเซลล์เข้าด้วยกันเป็นสารที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายของคนเรา นับตั้งแต่เรื่องของความแข็งแรงของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายมนุษย์ เกี่ยวข้องกับเรื่องของความสวยความงามของเซลล์ผิวหนัง ซึ่งสามารถสัมผัสกับความตึงของคอลลาเจนได้โดยลองจับแก้มเด็กตัวเล็กๆ จะสัมผัสได้ทันทีถึงความสดใสเต่งตึงที่ผิวแก้ม หรือเด็กวัยรุ่นที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มสาวจะเห็นว่าผิวพรรณสดใส เต่งตึงทีเดียว ทั้งนี้ คอลลาเจนไฮโดรไลเซท ก็คือโปรตีนเนื้อเยื่อเส้นใยชนิดหนึ่ง ที่มีความยืดหยุ่น เรียกว่า Elastic Fiber ซึ่งจะประกอบด้วยกรดอะมิโนหลายชนิดที่สำคัญได้แก่ ไกลซีน (Glycine) โปรลีน (Proline) และไฮดรอกซี่ โปรลีน (Hydroxy proline) มีความสำคัญยิ่งต่ออวัยวะในร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกอ่อน กระดูก เหงือก ฟัน ตา ผิวหนัง และหลอดเลือด เป็นต้น ซึ่งคอลลาเจนนี้จะช่วยให้โครงสร้างของร่างกายแข็งแรง และมีความยืดหยุ่นดี โดยเฉพาะจำเป็นต่อเนื้อเยื่อของกระดูกอ่อนบริเวณข้อ ในการรับน้ำหนักเคลื่อนไหว หรือขยับไปมาได้อย่างปกติทั่วไป
            ในร่างกายของคนเรามีโปรตีนอยู่มากมาย ซึ่งประมาณ 30-40% จะเป็นคอลลาเจน ระดับของปริมาณคอลลาเจนในร่างกายจะลดลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้น เมื่อระดับของคอลลาเจนลดลง จะทำให้ความยืดหยุ่นและสภาพความแข็งแรงของโครงสร้างอวัยวะต่างๆของร่างกายลดลงด้วย ช่วงที่คอลลาเจนในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง ร่างกายก็จะเริ่มสูญเสียความแข็งแรงของผิวหนัง กระดูก และกระดูกอ่อนตรงข้อต่อ ที่เป็นสาเหตุของปัญหาโรคข้อเสื่อมตามมา จนเกิดปัญหาปวดข้อ ข้อฝืด ข้อแข็ง ข้ออักเสบ ข้อผิดรูป ซึ่งมักจะเกิดกับผู้หญิงมากกกว่าผู้ชาย คอลลาเจนยังเป็นส่วนประกอบถึง 90% ของเนื้อกระดูก โดยมีแคลเซียมสะสมอยู่ในช่องว่างระหว่างคอลลาเจน การขาดคอลลาเจน จะทำให้แคลเซียมไม่สามารถสะสมในกระดูกได้ ทำให้เกิดภาวะกระดูกเสื่อม และเปราะหักง่ายทั่วร่างกาย ในการเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก กระดูกอ่อน และฟัน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรับประทานคอลลาเจนเสริม ร่วมกับแคลเซียม ข้อเสื่อมเกิดจากการที่กระดูกอ่อนบางลงหรือฉีกขาดออกเมื่อมีการเคลื่อนไหวข้อ จึงทำให้กระดูกใหญ่ 2 ชิ้น กระทบเสียดสีกัน เป็นผลให้เกิดอาการปวด บวม ข้ออักเสบ ฝืดขัดเวลาขยับหรือเคลื่อนไหว และเสียงกรุบกรับตามข้อ คอลลาเจนช่วยแก้ปัญหาและลดอาการดังกล่าวได้ โดยเมื่อร่างกายได้รับคอลลาเจนจะมีการดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดและกระตุ้นให้มีการสร้าง Collagen และ Proteoglycan ขึ้นจึงทำให้เกิดการเสริมสร้างความแข็งแรง ปรับสภาพความยืดหยุ่น เพิ่มความหนาแน่นของกระดูกอ่อนทำให้ไม่มีอาการปวดหรืออักเสบของข้ออันมาจากสาเหตุข้อเสื่อม นอกจากจะลดปัญหาของเรื่องข้อเสื่อมแล้ว คอลลาเจนไฮโดรไลเซท ยังมีประโยชน์ในผู้มีปัญหาเรื่องกระดูก เช่น ในผู้หญิงวัยทองที่จำเป็นต้องเสริมแคลเซียม และจำเป็นต้องใช้ยาที่ป้องกันการสลายของแคลเซียมจากกระดูก เมื่อรับประทานคอลลาเจนไฮโดรไลเซทร่วมด้วย พบว่ามีส่วนหรือมีผลทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น และลดการสลายแคลเซียมจากกระดูกได้ดีกว่าการใช้ยาแต่เพียงอย่างเดียว 
            ปัจจุบันคอลลาเจนสามารถสกัดมาจากเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนของสัตว์เช่น วัว หมู และสกัดมาจากหนังหรือเกล็ดปลาทะเลน้ำลึกและได้มีการพัฒนาคอลลาเจนไฮโดรไลเซท ในรูปแบบที่รับประทานง่าย และมีรสชาติอร่อย เช่น นำมาทำเป็นผงบรรจุกระป๋องไว้ชงดื่มและให้ละลายง่ายในน้ำเย็น เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์จำพวกชา กาแฟ อาหารบำรุงสมองหรือในรูปแบบแคปซูล เป็นต้น ซึ่งมีจำหน่ายตามร้านยา และตามร้านขายผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ อันเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งในเรื่องของปัญหาข้อเสื่อมกับการรับประทานคอลลาเจน ซึ่งเป็นสารอาหารอย่างหนึ่งที่มิใช่ยาแต่มีคุณค่าและคุณประโยชน์ต่อโรคข้อกระดูกเสื่อมได้ จึงทำให้ลดการใช้ยาแก้ปวดและยาต้านการอักเสบ รวมทั้งทำให้การเคลื่อนไหวของข้อดีขึ้นได้ ซึ่งก็คือทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและเนื้อเยื่อต่างๆแข็งแรงขึ้นอีกด้วย
            ทราบถึงคุณประโยชน์ของคอลลาเจนกันไปแล้ว และต่อไปนี้จะสรุปถึงประโยชน์ของคอลลาเจนถ้าหากรับประทานอย่างต่อเนื่อง จะทำให้สุขภาพผิวของท่านแข็งแรงและมีความยืดหยุ่นดี ช่วยลดริ้วรอยเหี่่ยวย่น ทำให้ผิวพรรณกระชับ เนียนใส เปล่งปลั่ง ช่วยเผาผลาญไขมัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนอนหลับ เพิ่มความกระฉับกระเฉง เสริมสร้างกล้ามเนื้อ บำรุงข้อต่อ และ กระดูก ในผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อยเกินไป คอลลาเจนจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และมีประโยชน์ต่อผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น ผู้ที่เป็นโรคปวดข้อ ผู้ที่มีคอเลสเตอรอลสูง ผู้ป่วยโรคเบาหวาน และผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยเหล่านี้มีสุขภาพดี

ที่มา: Food Today Magazine No.3


myspace traffic












แม่ฮ่องสอน -หมอกสามฤดู กองมูเสียดฟ้า ป่าเขียวขจี


หมอกสามฤดู กองมูเสียดฟ้า ป่าเขียวขจี 
ผู้คนดีประเพณีงาม ลือนามถิ่นบัวตอง

“แม่ฮ่องสอน” เลียบเรื่อยผ่านมา “เมืองสามหมอก” ดินแดนที่สีขาวของสายหมอก แต่งแต้มสีสันให้กับความเขียวขจีแห่งภูเขาป่าไม้ สร้างความงดงามไม่เว้นแต่ละวัน และเมื่อวันเวลาอันเป็นช่วงยามที่ดอกบัวตองบานสะพรั่ง ภูเขาสีเขียวที่ตั้งตระหง่านเรียงรายสลับซับซ้อน จะกลายเป็นสีเหลืองของบัวตอง ระบายความงดงามแห่งธรรมชาติจนเลื่องชื่อลือนามไปทั่ว จนเมื่อสายหมอกยามเช้าได้หมดไป จะพบกับเมืองเล็กๆ ที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในขุนเขา อุดมไปด้วยทรัพย์แห่งศิลปะวัฒนธรรมของวิถีชีวิตชาวไทยภูเขา อันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กับเสน่ห์ของสถาปัตยกรรมพื้นบ้านที่หาดูได้ยากยิ่ง รอคอยให้ใครต่อใครมาพบ

แม่ฮองสอนเป็นจังหวัดชายแดน ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับสหภาพพม่า ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกสุดของ
ภาคเหนือ อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ 942 กิโลเมตร มีเนื้อที่รวมทั้งสิ้นประมาณ 12,681 ตารางกิโลเมตร ปัจจุบันแบ่งการปกครองออกเป็น 6อำเภอ กับ 1กิ่งอำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอแม่สะเรียง อำเภอขุนยวม อำเภอปาย อำเภอแม่ลาน้อย อำเภอสบเมย และกิ่งอำเภอปางมะผ้า อาณาเขตทิศเหนือ ติดต่อกับรัฐฉานแห่งสหภาพพม่า ทิศใต้ติดต่อกับอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ทิศตะวันออกติดต่อกับจังหวัดเชียงใหม่ ทิศตะวันตกติดต่อกับสหภาพพม่า

พื้นทีี่ส่วนใหญ่เป็นทิวเขาสูงสลับซับซ้อน มีป่าไม้้ตามธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ โดยมีพื้นที่ป่าไม้ที่ เป็นป่าสงวนแห่งชาติิ ประมาณ 6,976,650 ไร่ มีทิวเขาเรียงตามแนวทิศเหนือ - ใต้ ขนานกัน มีทิวเขาแดนลาวอยู่ทางตอนเหนือสุดของจังหวัด เป็นแนวแบ่งเขตแดนไทย กับสหภาพพม่า ทิวเขาถนนธงชัย   ซึ่งประกอบด้วยทิวเขาเรียงขนานกัน 3แนว คือทิวเขาถนนธงชัย ตะวันตก เป็นแนวเขตแดนไทยกับสหภาพพม่า ทิวเขาทิศตะวันออกของจังหวัด เป็นแนวแบ่งเขตระหว่างจังหวัดแม่ฮ่องสอนกับเชียงใหม่ ยอดเขาที่สูงที่สุดคือ ยอดเขาแม่ยะ อยู่บริเวณทิวเขา ถนนธงชัยตะวันออก ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดในเขตอำเภอปาย ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2005 เมตร
ภูมิอากาศเป็นแบบร้อนชื้น ในฤดูร้อนจะมีอากาศร้อนจัด อากาศหนาวจัดในฤดูหนาว ฝนจะตกชุกในฤดูฝน นอกจากนี้ แม่ฮ่องสอนยังมีหมอกปกคลุมตลอดทั้งป จนได้ชื่อว่า "เมืองสามหมอก" เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศที่เป็นหุบเขาสูง มีพื้นที่อยู่บนที่สูงเหนือระดับน้ำทะเล ทำให้
มีอุณหภูมิสูงในตอนกลางวันเนื่องจากถูกแสงแดด ส่วนในตอนกลางคืนจะได้รับอิทธิพลจากลมภูเขา ทำให้อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว  ซึ่งเมื่อความร้อนในตอนกลางวัน  ลอยตัวขึ้นปะทะกับความชื้นของอากาศ จึงทำให้เกิดหมอกปกคลุม และมีทิวทัศน์นสวยงามตามธรรมชาติของเทือกเขาสลับซับซ้อน และป่าไม้นานาพันธุ์ จนนักท่องเที่ยวเล่าขานกันอยู่เสมอว่าเปรียบเสมือนกับเป็นสวิสเซอร์แลนด์ของเมืองไทย





จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่มากมาย  ทั้งที่เป็นแหล่ง  ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และโบราณสถาน นอกจากนี้ ยังมีศิลปวัฒนธรรมประเพณี อันควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ เห็นได้จากบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว หรือสองชั้นแบบโบราณ เรียกว่า บ้านแบบไทยใหญ่ สร้างด้วยไม้มีใต้ถุนสูง หลังคามุงด้วยใบตองตึง มีการแต่งกายแบบพื้นเมือง ซึ่งเรียกกันว่า ชุดไต  คือผู้ชายนุ่งกางเกงคล้ายกางเกงจีน หรือกางเกงชาวเล สวมเสื้อคอกลมแขนยาวป้ายแบบจีน  ผู้หญิงนุ่งผ้าถุงยาว  สวมเสื้อทรงกระบอกตัวสั้นเพียงเอว  ชาวแม่ฮ่องสอนยังใช้ภาษาท้องถิ่น และรับประทานอาหารพื้นเมือง สิ่งเหล่านี้ นับว่าเป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยว ให้เดินทางมาเยี่ยมชมจังหวัดแม่ฮ่องสอน



Hosting







วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อันตรายจากเตาไมโครเวฟ!

 เตาอบไมโครเวฟ นับว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าคู่บ้านสำหรับยุคนี้ไปซะแล้ว จริงๆ แล้วก็มีข่าวเกี่ยวกับเจ้าเตานี้ออกมาเตือนผู้ใช้กันมาพอสมควร แต่บางคนก็ยังเลิกใช้ไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยความเสียดายที่อุตส่าห์ซื้อมาแล้ว หรือว่าเป็นเพราะความสะดวกสบายเคยชินก็แล้วแต่ที่ยังใช้กันอยู่ ก็ต้องใช้กันให้ระวังหน่อยนะคะ 

เตาอบไมโครเวฟ เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ความถี่ 1260 MHz จะเกิดการเหนี่ยวนำโมเลกุลของน้ำ เกิดความร้อนคลื่นที่ออกมาถือว่าเป็นรังสีชนิดที่ไม่แตกตัวเป็นอนุภาค ไม่มีผลให้โมเลกุลของสารเปลี่ยน และไม่มีผลตกค้างในอาหารที่นำมาอุ่นเพราะฉะนั้นก็ถือได้ว่าเตาอบไมโครเวฟนั้นไม่มีอันตรายอะไร และไม่มีหลักฐานว่า อาหารที่เข้าเตาอบไมโครเวฟทำให้เกิดมะเร็ง ยกเว้นว่าอุ่นจนไหม้ สารก่อมะเร็งอาจจะเกิดจากสารไฮโรคาร์บอนที่ไหม้มากกว่าไมโครเวฟ

เตาอบไมโครเวฟที่ดีไม่ควรมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารั่วออกมาจากเตาอบ แต่เตาอบที่เก่าๆ อาจจะมีรั่วออกมา ได้บ้าง ถ้าเราไม่เข้าไปใกล้ๆ หรือไม่เอาหน้าไปจ่อเพื่อดูอาหารที่อุ่นก็ไม่มีอันตรายอะไรครัอันตรายที่พบจากคลื่นที่รั่วออกมาก็คือ ถ้าโดนที่ตาเรามากๆ และนานพอจะทำให้เลนส์ตาขุ่น เกิดต้อกระจกได้ เพราะว่าในเลนส์ตามีน้ำเป็นองค์ประกอบมาก

อันตราย!! ห้ามต้มน้ำดื่มโดยใช้เตาไมโครเวฟ

ชายหนุ่มอายุ 26 ปีนายหนึ่ง อยากจะได้กาแฟร้อนสักแก้ว เขาจึงนำน้ำ 1 ถ้วยเข้าไปต้มให้ร้อนในเตาไมโครเวฟ ไม่ทราบว่าเขาตั้งเวลานานเท่าใด แต่เขาบอกว่าเขาต้องการต้มนำให้เดือด เมื่อครบเวลาที่ตั้งเขาก็นำถ้วยออกจากเตาไมโครเวฟ เขามองดูน้ำในถ้วยไม่เห็นมีลักษณะว่าเดือด แต่ทันใดนั้นเองน้ำในแก้วก็ทะลักใส่หน้าเขาโดยที่ถ้วยแก้วไม่เป็นอะไรเลย ก่อนที่เขาจะขว้างถ้วยทิ้ง แต่น้ำในถ้วยทั้งหมดกลับสาดใส่หน้าเขาด้วยแรงจากพลังงานสะสม ทั้งใบหน้าของชายหนุ่มเกิดแผลพุพอง และมีรอยไหม้ในระดับ 1 และ 2 และอาจกลายเป็นรอยแผลเป็น อีกทั้งดวงตาซ้ายอาจจะสูญเสียการมองเห็นบางส่วน

แพทย์ที่รักษาให้ความเห็นว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดได้ตามปกติ และแนะนำว่า ต้องไม่อุ่นหรือต้มน้ำเปล่าในเตาไมโครเวฟเด็ดขาด แต่หากต้องการทำก็จะต้องเอาไม้คน หรือ ถุงชา ฯลฯ ใส่ลงในถ้วยก่อนนำถ้วยน้ำเข้าไปในเตาไมโครเวฟด้วย เพื่อช่วยซับพลังงานสะสมที่เกิดขึ้น แต่วิธีที่ปลอดภัยที่สุด ควรต้มน้ำในกาต้มน้ำเท่านั้น

บริษัท General Electric’s (GE) ได้ตอบข้อสงสัยนี้ว่า

น้ำหรือของเหลวที่ทำให้ร้อนด้วยเตาไมโครเวฟ จะไม่เห็นการเดือดปุดปุดเลย แม้ว่าจะร้อนจนถึงจุดเดือด แต่ทันทีที่นำออกจากเตา หรือใส่ช้อน ชา หรือถุงชา หรืออื่นๆ ลงในแก้ว น้ำหรือของเหลวที่ร้อนนั้น จะกลับเดือดปุดปุด ล้นทะลักออกนอกแก้ว

เพื่อป้องกันเหตุร้ายและการบาดเจ็บ อย่าต้มของเหลวในไมโครเวฟนานเกิน 2 นาที่ต่อแก้ว และหลังจากต้มในเตาไมโครเวฟแล้ว ให้ปล่อยทิ้งไว้ในเตานาน 30 วินาทีก่อนนำออกมา หรือ ก่อนใส่ควรเติมอะไรลงไปในถ้วยนั้น เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้

ที่มา :

• การต้มน้ำหรือชงกาแฟในไมโครเวฟ
            น้ำที่ต้มในไมโครเวฟบางครั้งอาจระเบิดได้ เพราะ น้ำจะถูกต้มให้มีอุณหภูมิสูงกว่าจุดเดือดของน้ำปกติ (superheated water) ปกติเวลาน้ำเดือดเราจะเห็นฟองอากาศลอยผุดขึ้นผิวน้ำ ฟองอากาศนี้ช่วยลดอุณหภูมิของน้ำให้อยู่ที่จุดเดือดปกติ ถ้าไม่มีฟองอากาศอุณหภูมิของน้ำอาจสูงกว่าจุดเดือดมากจนทำให้เกิดน้ำระเบิดได้
           แต่ถ้าไม่มีการระเบิดในเตาไมโครเวฟ การนำน้ำที่ต้มด้วยเตาไมโครเวฟออกมาชงกาแฟเป็นเรื่องร้ายแรงมาก เพราะน้ำที่มีอุณหภูมิสูงกว่าจุดเดือดปกติ เปรียบเสมือนระเบิดเวลา เพราะน้ำที่เดือดแล้วควรจะกลายเป็นไอแต่กลับคงอยู่ในสถานะของเหลว การใส่กาแฟ หรือน้ำตาล หรือแม้กระทั่งถุงชาลงไป จะรบกวนระบบทำให้น้ำกลายเป็นไอและขยายปริมาตรอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นระเบิดน้ำเดือดขนาดย่อม ๆ ซึ่งอาจร้ายแรงมาก
           นอกจากนี้การระเบิดขณะต้มเส้นสปาเกตตี้ ต้มไข่ และการระเบิดของไข่แดงขณะที่ทำไข่ดาว ก็สามารถอธิบายได้ในทำนองเดียวกัน 



 โปรดใช้วิจารณาณในการรับข้อมูล