วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

12 เคล็ดไม่ลับบำบัดร่างกาย ด้วยวิธีแพทย์แผ่นจีน



ช่วงนี้อากาศแปรปรวนฝนตกบ่อยอาจเกิดโรคภัยไข้เจ็บกันได้ง่าย
ออน-อร อยากให้เพื่อนๆดูแลสุขภาพกันให้ดีนะค่ะ  
และถ้าหากเพื่อนๆมีเวลาว่าง ก็ลองนำเอาเคล็ดลับทำด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันโรคภัยแบบง่ายๆ
สูตรแพทย์แผนจีนไปลองฝึกทำกันดู  เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเพื่อนๆเอง
ดังคำพระท่านว่า... อโรคยา ปรมา ลาภา (ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ)
1. หวีผมบ่อยๆ:
ให้หวีผมเบาๆ บ่อยๆหน่อย ซึ่งจะช่วยให้ตาสว่าง และรากผมแข็งแรง
(ใช้หวีซี่ห่างหน่อย แล้วแปรงเบาๆ เพื่อกันผมหลุดร่วง)
2. ถูใบหน้าบ่อยๆ:
ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นใช้ฝ่ามือ 2ข้าง
ถูลงบนใบหน้าเบาๆ บ่อยๆหน่อย  เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
ทำให้ใบหน้าเปล่งปลั่ง
3. เคลื่อนไหวดวงตาบ่อยๆ:
ให้มองไกล-มองใกล้ มองข้างนอก-ข้างใน มองบน-มองล่าง หลีกเลี่ยงการมอง
หรือจ้องอะไรนานๆ โดยเฉพาะคนที่ทำงานคอมพิวเตอร์ ควรพักสายตาด้วยการมองไกล
อย่างน้อยทุกชั่วโมง
4. กระตุ้นใบหูบ่อยๆ:
การดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูเบาๆ บ่อยๆหน่อย ช่วยบำรุงตานเถียน (จุดฝังเข็ม)
ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เก็บพลังงานของร่างกาย (ใต้สะดือ) สัมพันธ์กับไต ซึ่งการเปิดทวารที่หู
ทำให้แรงดี ป้องกันเสียงดังในหู หูตึง และอาการเวียนหัว
5. ขบฟันบ่อยๆ:
ขบฟันเบาๆ บ่อยๆหน่อย (ไม่ใช่ขบแรงดังกรอดๆ) เป็นการช่วยให้ฟันแข็งแรง
และยังช่วยกระตุ้นการหลั่งของน้ำย่อย
6. ใช้ลิ้นดุนเพดานปากบ่อยๆ:
การใช้ปลายลิ้นกระตุ้นเพดานบนด้านหน้า  คือเป็นการกระตุ้นจุดฝังเข็ม
เพื่อเชื่อมพลังลมปราณตู๋ และเยิ่น  ซึ่งเป็นเส้นควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง
และส่วนหน้าร่างกาย  จะช่วยทำให้เกิดการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำ และน้ำลาย
7. กลืนน้ำลายบ่อยๆ:
การกลืนน้ำลายบ่อยๆ ช่วยกระตุ้นพลังบริเวณคอหอย และกระตุ้นการย่อยอาหาร
8.. หมั่นขับของเสีย:
หมั่นขับของเสีย โดยเฉพาะดื่มน้ำให้พอ กินอาหารที่มีเส้นใย และหมั่นออกกำลังกาย
เพื่อป้องกันท้องผูก เมื่อปวดปัสสาวะ หรืออุจจาระให้ถ่ายทันที อย่ารอโดยไม่จำเป็น
การทิ้งของเสียไว้ในร่างกายนานเกินทำให้เกิดสารพิษ และการดูดซึม
สารพิษ (กลับเข้าสู่ร่างกาย) มากขึ้น ทำให้ป่วยง่ายขึ้น
9. ถูหรือนวดท้องบ่อยๆ:
ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกาเบาๆ เพื่อช่วยให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น
10. ขมิบก้นบ่อยๆ:
การขมิบก้นบ่อยๆ ช่วยป้องกันริดสีดวงทวาร และท้องผูก
11. เคลื่อนไหวทุกข้อ:
การอยู่นิ่งๆ หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป ทำให้เกิดโรคได้ง่าย
ควรเคลื่อนไหวข้อต่างๆ ให้ครบทุกข้อทุกวัน และ ฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อ
และข้อให้สมดุล เช่น การฝึกชี่กง ไท้เก้ก โยคะ ฯลฯ
12. ถูผิวหนังบ่อยๆ:
ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คล้ายกับการถูตัวเวลาอาบน้ำ
มีส่วนช่วยให้เลือด และพลังไหลเวียนดี
เพื่อนๆลองไปทดลองปฏิบัติทำดูนะค่ะ เพื่อสุขภาพ  และพลังลมปราณที่ดีของเรา
เคล็ดลับดีๆจาก ท่านอาจารย์นายแพทย์ภาสกิจ(วิทวัส) วัณนาวิบูล
อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์แผนจีน
แหล่งที่มา: 
TeeNee


Ecommerce Hosting




วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

7 วิธีสร้างสุขให้ชีวิต


เราทุกคนย่อมมีความทุกข์ในใจ อย่าเก็บมันไว้กับตัว ทิ้งมันไปซะ แล้วตามหาความสุขกันดีกว่า

...นานแค่ไหนแล้วที่คุณรู้สึกไม่มีความสุข ทั้งที่ชีวิตสมบูรณ์ทุกอย่าง
จนใครหลายคนต้องอิจฉา

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเงิน และเรื่องส่วนตัว แล้วความทุกข์ใจแอบย่องเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร เราจะจัดการกับมันอย่างไร เพื่อให้ความสุขอยู่กับเราตลอดไป

นี่คือ 7 วิธีง่ายๆ ที่จะทำให้ความสุขอยู่เคียงคู่กับคุณตลอดไป

  1. มีความรัก เมตตา และมีน้ำใจให้สรรพสิ่งรอบตัว เริ่มจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น ช่วยเหลือสัตว์ที่ได้รับ
    บาดเจ็บ กดลิฟต์รอคนอื่นๆ ขับรถอย่างมีน้ำใจ หยุดรถให้คนข้ามถนน และอย่าลืมส่งยิ้มให้ผู้คนรอบข้าง แค่นี้ ความสุขของคุณก็เริ่มขึ้นแล้ว
  2. มีความเชื่อมั่นและมีภูมิใจในตัวเองอยู่ตลอดเวลา ความคิดและคำพูดที่ว่า ฉันโง่ ฉันไม่เก่ง ฉันขี้เกียจ ฉันสวยน้อยกว่าคนอื่น เหล่านี้ลืมไปได้เลย คิดเสมอว่าเราเป็นคนหนึ่งที่มีศักยภาพไม่ด้อยไปกว่าใคร
  3. ทำในสิ่งที่อยากทำอย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องงานหลัก งานอดิเรก การเล่นกีฬา หรือกิจกรรมอื่นใดก็ตาม
    ถ้าชอบแล้วละก็ ทุ่มเททำไปให้เต็มที่แล้ว ความสุขจะหนีไปไหนเสีย
  4. มอบความไว้วางใจให้ผู้อื่นบ้าง เปิดใจให้กว้าง รับฟังทุกเสียงอย่างพิจารณา อย่างน้อยก็เป็นการแบ่งเบาภาระความรับผิดชอบต่างๆ ลงได้บ้าง
  5. มองวันนี้อย่างมีความสุข โยนอดีตที่ไม่ดีหรือความผิดพลาดที่ไม่น่าจดจำทิ้งไป
    เหลือไว้แค่เป็นบทเรียน
  6. ยอมรับความจริงด้วยความเข้าใจ เพราะอยู่ดีๆ อาจถูกนินทาว่าร้าย หรือต้องกังวลกับสิ่งที่เข้ามากระทบกับชีวิต อย่าท้อแท้ หรือถอยหนีกับเรื่องราวแย่ๆพวกนี้ การถอยหรือหนีปัญหา อาจรู้สึกดีชั่วครั้งคราว แต่การเผชิญหน้ากับปัญหาทุกเรื่องอย่างเข้าใจและมีสติ เพียงเท่านี้ก็ยิ้มรับความสุขได้เท่าที่ต้องการ
  7. คิดพร้อมกับวางแผนการจับจ่ายใช้สอย และบริหารจัดการการเงินในกระเป๋าอย่างรอบคอบ หรือปรึกษา
    ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการวางแผนการใช้เงินใกล้บ้าน

**************************************









Share
|



เคล็ดลับสร้างอายุยืนแบบชาวโอกินาวา

ชาวโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้ที่มีอายุยืนที่สุดในโลก เพราะวิถีชีวิต
และการกินอาหารเป็นสำคัญ

แต่คุณก็มีสุขภาพดีและอายุยืนแบบชาวโอกินาวาได้ด้วยหลักง่าย ๆ ดังนี้
  1. กระฉับกระเฉงและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้หลอดเลือด
    แข็งแรง และรักษาระบบความจำในระยะยาว
  2. กินอาหารแค่ 80 เปอร์เซ็นต์ เหลือกระเพาะไว้ 20 เปอร์เซ็นต์ หากคนทั่วไปกินอาหาร 2,000 กิโลแคลอรีต่อวัน ชาวโอกินาวาจะกินแค่วันละ 1,500
    กิโลแคลอรีเท่านั้น และอย่าลืมระวังแคลอรี เพราะยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งมีน้ำหนักเกินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  3. รับประทานผักและผลไม้ให้มาก เพราะอุดมด้วยไบโอเฟลโวนอยด์ (bioflavonoid) และสารต้านอนุมูลอิสระ มีไขมันต่ำและมีเส้นใยอาหารสูง กินผลไม้อย่างน้อย 5 ส่วนต่อวัน และควรเป็นผัก ผลไม้ หลากสีสัน ที่สำคัญ ยิ่งสีสดใสเท่าไรก็ยิ่งดีต่อสุขภาพมากเท่านั้น
  4. กินไขมันมีประโยชน์ เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา ปลา ถั่ว ธัญพืช อย่างสม่ำเสมอ
  5. นอนหลับคืนละ 7 - 8 ชั่วโมง เพราะการพักผ่อนน้อยเสี่ยงโรคอ้วน และมีผลกระทบต่อกระบวนการเผาผลาญอาหารและฮอร์โมน
  6. ผ่อนคลายความเครียด เช่น การทำสมาธิ โยคะ อ่านหนังสือ ฟังเพลง
  7. ไม่สูบบุหรี่ เพราะเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด
วิธีง่าย ๆ เหล่านี้ หากทำเป็นประจำจะทำให้คุณมีสุขภาพดีและอายุยืนเหมือน
ชาวโอกินาวาค่ะ นอกจากนี้เมื่อดูแลสุขภาพร่างกายแล้วก็อย่าลืมดูแลสุขภาพทางการเงินด้วยนะคะ เพราะเมื่อคุณและคนในครอบครัวมีอายุยืนขึ้น นั่นหมายความว่าคุณจะมีระยะเวลาในการใช้จ่ายเงินหลังเกษียณนานขึ้น

การวางแผนการเงินตั้งแต่วันนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กันค่ะ สำหรับเคล็ดลับในการทำให้คุณมีสุขภาพการเงินที่สมบูรณ์ ลองเยี่ยมชมและตรวจสอบสุขภาพทางการเงินที่ K-WePlan เพื่ออนาคตที่ดีของตัวคุณเองสิค่ะ

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แคนตาลูป ผลไม้มีประโยชน์


แคนตาลูป เป็นพืชตระกูลแตง อยู่ในตระกุลเดียวกับแตงไทย มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย คนอินเดียและแอฟริการู้จักกินแคนตาลูปมานานกว่า 4,000 ปี
ชื่อแคนตาลูปได้มาจากการนำแตงพันธุ์นี้ เข้าไปปลูกในประเทศอิตาลีที่เมืองแคน ตาลูโป (Cantalupu) ใกล้กับกรุงโรม ต่อมาพระเจ้าชาร์ลที่ 8 นำไปปลูกในฝรั่งเศส และเรียกว่า “แคนตาลูป” อังกฤษนำไปปลูกบ้าง เลยเรียกชื่อตาม
ภาษาฝรั่งเศส


มีการนำแคนตาลูปเข้ามาปลูกในเมืองไทยตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2478 เมื่อก่อนเรียกว่า “แตงเทศ” หรือ
“แตงฝรั่ง” ด้วยรูปร่างลักษณะคล้ายกับแตงไทย จึงมีบางคนเรียกแคนตาลูปว่า “แตงไทยฝรั่ง” แต่ปลูกแล้วเป็นโรคจึงตายเป็นจำนวนมาก ต่อมาได้มีการพัฒนาพันธุ์ จนสามารถปลูกแคนตาลูปได้ผลผลิตดีเช่นในปัจจุบัน
แหล่งปลูกแคนตาลูปในบ้านเราอยู่ที่ อ.ไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี และ อ.อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เกษตรกรในอรัญประเทศเรียกแคนตาลูปว่า “แตงคุณหนู” เพราะเป็นผลไม้ที่ต้องดูแลเอาใจใส่กันเป็นพิเศษ
ตั้งแต่หยอดเมล็ดจนได้ผลกันเลย
แคนตาลูปเป็นพืชล้มลุก มีลักษณะเป็นไม้เถา ตามเถาและก้านใบมีขนนิ่ม ใบเหลี่ยมมน ดอกสีเหลือเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่คนละดอก ผลกลมรี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางผล 10 - 16 ซ.ม. เปลือกนอกแข็ง เนื้อชุ่มน้ำ ผลดิบเนื้อกรอบ เมื่อสุกเนื้อนิ่ม หอมหวาน สีของเนื้อแคนตาลูปแตกต่างกันตามสายพันธุ์ สามารถแบ่งออกได้ ดังนี้
- เนื้อสีเขียวหรือเขียวขาว เป็นพันธุ์ลูกผสมต่างประเทศมีทั้งผิวเรียบและผิวลายตาข่าย ผลสุกเปลือก
สีเขียวครีมเหลือง และเหลือทอง เนื้อมีทั้งเนื้อกรอบ และเนื้อนุ่มรสหวาน และมีกลิ่นหอม เช่น พันธุ์เจดคิด
ฮันนี่ดิว ฮันนี่เวิลด์และวีนัสไฮบริด เป็นต้น
- เนื้อสีส้ม ผลมีทั้งผิวเรียบและผิวลายเป็นตาข่าย ผลสุกเปลือกสีครีม และสีเหลือง เนื้อมีทั้งเนื้อกรอบและเนื้อนุ่มรสหวาน และมีกลิ่นหอมค่อนข้างแรงได้แก่ พันธุ์ซันเลดี้ ท๊อบมาร์ค นิวเอ็มเมลลอน และนิวเซนต์จูรี เป็นต้น
ในแคนตาลูปสุกครึ่งลูก มีสารอาหารต่างๆ มากมาย มีน้ำตาล มีแคลเซียม 38 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 44 มิลิกรัม เหล็ก 1.1 มิลลิกรัม โซเดียม 33 มิลลิกรัม โปตัสเซียม 682 มิลลิกรัม วิตามินเอมีมากถึง 9,240 I.U., ไนอาซีน 1.6 มิลลิกรัม และวิตามินซีก็มีมากถึง 90 มิลลิกรัม ซึ่งใกล้เคียงกับส้มเขียวหวานเลยทีเดียว และยิ่งถ้าซื้อ
แคนตาลูปในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลของแคนตาลูป จะมีสารอาหารจำพวกไรโบฟลาวิน ไนอาซิน ไทอามิน และวิตามินซีสูงเป็นพิเศษ
สารอาหารในแคนตาลูป ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน เนื้อผลสุกเป็นยาขับปัสสาวะ ขับน้ำนม ขับเหงื่อ ดับพิษร้อน บำรุงธาตุและสมอง ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ แก้กระหาย สมัยก่อนฝรั่งเชื่อกันว่ากินแตงแคนตาลูปแล้วทำให้สายตาดีและมีสติ จะคิดจะทำสิ่งใดก็ได้ตามความมุ่งหมาย

น้ำแคนตาลูป นอกจากดื่มแก้กระหายคลายร้อน ช่วงเดือนเมษายนได้อย่างดีแล้ว ยังช่วยลดไข้ เพราะ
แคนตาลูปเป็นผลไม้เย็น ส่วนน้ำตาลและเอ็นไซม์ที่มีอยู่ในแคนตาลูป ยังช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการอักเสบของลำไส้ และบรรเทาอาการท้องปั่นป่วนจากการรับประทานอาหารไม่ตรงตามเวลาได้
การทำน้ำแคนตาลูปให้ได้รสหวานเย็นชื่นใจนั้น ต้องเลือกซื้อแคนตาลูปที่สุกกำลังดี แคนตาลูปอ่อนจะไม่มีกลิ่นหอม ถ้าสุกเกินไปเมื่อเขย่าดูจะมีน้ำอยู่ข้างใน แสดงว่าไส้ล้ม ให้เลือกผลขนาดกลาง ซึ่งมีน้ำหนักประมาณสักหนึ่งกิโลกรัมก็ใช้ได้แล้ว นอกจากดูน้ำหนักแล้ว ผิวของแคนตาลูปก็มีส่วนสำคัญ ผิวต้องเรียบตึง สวย ไม่เป็นร่องหยัก เลือกที่สีนวลเหมือนเปลือกไข่
ลองทำน้ำแคนตาลูปกันดู โดยให้ปอกเปลือกแคนตาลูป แล้วเอาเมล็ดออก หั่นชิ้นเล็กปริมาณ 1 ถ้วย ตามด้วยแตงโมเอาเมล็ดออก หั่นชิ้นเล็ก ½ ถ้วย ต่อด้วยน้ำส้มคั้น ½ ถ้วย และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา แล้วใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในโถปั่น ปั่นด้วยความเร็วสูง จนเนื้อเนียนเข้ากันดี เทใส่แก้ว ดื่มทันที
หรือจะทำน้ำแคนตาลูปผสม โดยให้นำแคนตาลูป 1 ลูก ผ่าครึ่ง ใช้ช้อนตักเอาเมล็ดออก หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมไม่ต้องใหญ่มาก นำไปปั่นจนเนื้อแตงเนียน พักไว้ แล้วนำน้ำนมถั่วเหลือง 1 ถ้วย น้ำผึ้ง หรือน้ำตาลสีรำ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำแข็งเกล็ด 1 ½ ถ้วย ใส่ลงในโถปั่น ปั่นด้วยความเร็วสูง ประมาณ 1 นาทีแล้วจึงใส่น้ำแคนตาลูปลงไปปั่นรวมกัน นานอีก 1 นาที จนเข้ากันดี รินใส่แก้วดื่มทันที

ที่มา : สสส.,วิชาการดอทคอม และ www.thaihealth.or.th






Domain Hosting




Share
|



วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วิธีกระตุ้นภูมิชีวิต

เมื่อไรที่คุณรู้สึกถึงความหดหู่ ไม่สดชื่นแจ่มใสอย่างที่ควร นั่นบ่งบอกได้ว่า
ภูมิชีวิตของคุณอาจจะกำลังถดถอย อย่ารอช้า ลองเลือกหาวิธีที่สะดวก และคิดว่าน่าจะนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน แล้วถามตัวเองดูอีกทีว่า วันนี้คุณรู้สึกอย่างไร

เสริมวิตามินซี
เลือกกินผักผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซีให้ได้วันละ 3 กรัมทุกวัน เช่น ส้ม มะละกอ ฝรั่ง คะน้า เพราะวิตามินซีช่วยเพิ่มจำนวนเซลเม็ดเลือดขาวมากขึ้นได้ถึง 10 เท่า และยังกระตุ้นให้กระบวนการต่อสู้กับเชื้อโรคด้วย
สมดุลอาหาร
ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่ง ต้องการทั้งวิตามินบี เบต้าแคโรทีน วิตามินดี แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก และสังกะสีในระดับสูง อาหารมื้อต่อจากนี้ไป อย่าลืมผสมผสานคุณค่าสารอาหารจากกลุ่มคาร์โบไฮเดรต โปรตีน พร้อมผักใบเขียวอื่นๆ ด้วย
ออกกำลังกาย
การกระตุ้นระบบต่อมน้ำเหลืองและเพิ่มจำนวนเซลล์เพื่อต่อสู้กับโรคต่างๆ เป็นวิธีที่กระบวนการออกกำลังกายช่วยต่อสู้กับภาวะป่วยไข้ แต่ก็ห้ามหักโหมเกินไป เพราะไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการลดภูมิต้านทานลงไปอีก
นอนหลับเพียงพอ
เมื่อเรานอนหลับพักผ่อนเต็มที่ ระบบภูมิชีวิตก็ย่อมทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น แต่เมื่อไรก็ตามที่นอนน้อย ระบบในตัวก็ซึมเซา เลยพ่ายแพ้ต่อเชื้อโรคได้ง่าย
ล้างมือ
เชื้อโรคส่วนมากมักล่วงล้ำข้ามเขตเข้าร่างกายทางจมูกหรือดวงตาเพราะมือของเราเอง การล้างมือ
ฟอกสบู่เป็นประจำช่วยลดปริมาณเชื้อโรคลงได้ แล้วยังลดความเสี่ยงของการติดเชื้อต่างๆ อีกด้วย
ลองทำดูให้เป็นกิจวัตร แล้วคุณจะพบว่าภูมิชีวิตที่ดีสร้างได้ด้วยตัวคุณเอง






track net visits



บริหารกายใจให้สมดุล

เพราะชีวิตของคนเรามีความแตกต่างกัน ความพอดีของคนคนหนึ่งอาจเป็นสิ่งที่มากเกินไปสำหรับอีกคน ในขณะที่อีกคนอาจรู้สึกว่าน้อยไป... และที่สำคัญในแต่ละช่วงชีวิตของแต่ละคน ก็มีความสมดุลแตกต่างกัน

สมดุลแห่งชีวิตจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราจัดสรรเรื่องงาน ครอบครัว คนรอบข้าง และจิตใจของเราให้มีความ
พอเหมาะพอดี ลองมาดูกันสิว่า มีแนวาทงจัดสรรได้อย่างไรบ้าง
ทำงานในเวลางาน
หลักสำคัญที่จะช่วยไม่ให้เวลาทำงานไปเบียดบังเวลาในชีวิตส่วนตัว คือ ต้องทำงานเฉพาะในเวลางาน
เท่านั้น ทั้งนี้ การทำงานในเวลาทำงานไม่ได้หมายความถึงการทำงานตามเวลา แต่หมายถึงการกำหนดเวลาทำงานที่แน่นอนตายตัว เช่น ถ้ามีงานปริมาณมากกว่าปกติ ต้องทำงานล่วงเวลา ควรกำหนดให้แน่ชัดว่าจะทำงานล่วงเวลากี่ชั่วโมง และต้องคำนวณเวลาพักผ่อนให้เพียงพอตั้งแต่ 6 - 8 ชั่วโมง เช่น ทำงานล่วงเวลาหลังจากเลิกงานอีก 3 ชั่วโมง ตั้งแต่ 17.00 - 20.00น. เป็นต้น

เพื่อให้การทำงานล่วงเวลามีประสิทธิภาพ ก่อนเริ่มต้นทำงานในช่วงล่วงเวลาควรจะหากิจกรรมพักผ่อน
ก่อนลงมือทำงาน เช่น อ่านหนังสือ เดินเล่น เล่นเกมส์ ทานข้าว หรือนั่งพักสบายๆ จิบน้ำผลไม้หรือกาแฟไปพลางๆ ก่อนลงมือทำงานจริง

ข้อควรระวัง ไม่ควรทำงานไปเรื่อยๆ จนกว่างานจะเสร็จ เพราะนั่นจะทำให้งานเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งใน
ชีวิตส่วนตัว จนกระทั่งสูญเสียเวลาส่วนตัวไปและกลายเป็นความเคยชินในที่สุด แม้ว่าหน้าที่การงานจะ
ประสบความสำเร็จแต่ชีวิตส่วนตัวอาจจะล้มเหลวได้

งานสนุก...ใจสบาย
สิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้ชีวิตการทำงานมีความสุข งานมีประสิทธิภาพ และสุขภาพกายและใจก็ไม่เคร่งเครียดจนเกินไป คือ การบริหารจัดการงานให้เป็นสนุก หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วจะทำให้งานสนุกได้อย่างไร ในเมื่องานบางอย่างเป็นเรื่องเครียด และน่าเบื่อ
  • มองงานทุกอย่างตรงหน้าให้เป็นเรื่อง “สนุก” ลองคิดว่าปัญหาและอุปสรรคต่างๆ คือโจทย์ที่ท้าทาย
    ความคิดและความสามารถของเรา การข้ามผ่านปัญหาต่างๆ ไปได้ก็เหมือนการข้ามผ่านอุปสรรคในเกมส์ที่เราคุ้ยเคย
  • ยอมรับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหา อุปสรรค ฯลฯ และพยายามอย่าเพิ่งคิดอะไรที่ยุ่งยาก
    ซ้บซ้อน หรือคิดไปไกลเกินกว่าสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า เพราะนั่นอาจจะทำให้เรากังวลไปเกินกว่าเหตุ
  • เมื่องานเสร็จหรือเครียดจนถึงขีดสุด ควรจะ “หยุด” ทุกอย่างไว้ แล้วลุกไปหากิจกรรมทำแก้เครียด อาทิ ฟังเพลง ร้องเพลง ปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ ทำอาหาร หรือจัดโต๊ะทำงาน เพราะช่วงเวลาเหล่านี้จะช่วยดึงสมอง กาย และใจออกไปจากเรื่องงานชั่วคราว เพียงเท่านี้ เราก็จะได้พักและคลายความตึงเครียดลงมาได้
อย่ารอให้ถึงเวลา...พักผ่อน
หลายคนเคยชินกับการทำงานไปเรื่อยๆ จนกระทั่งร่างกายหมดแรง หรือใช้พลังจนหมดหยดสุดท้าย...
แล้วค่อยพักผ่อน แต่รู้หรือไม่การกระทำดังกล่าวยิ่งสร้างผลเสียให้กับร่างกายในระยะยาว แต่อาจไม่แสดงผลในทันที
  • นอนน้อย สาเหตุของการเกิดโรค รู้หรือไม่ว่าคนที่เคยชินกับการอดหลับอดนอนเพื่อทำงานให้เสร็จทันเวลาและค่อยนอนพักผ่อนทีเดียว จะส่งผลเสียต่อร่างกายในหลายด้าน อาทิระบบการย่อยอาหารทำงานด้อยลง ร่างกายขาดภูมิต้านทานต่อการป้องกันโรคต่างๆ เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งในระบบที่เกี่ยวข้องกับการหลั่งฮอร์โมน ที่สำคัญ จากการศึกษาของนักวิจัยยังพบว่าอาจส่งผลกระทบทำให้ประสิทธิภาพการจำลดลง
  • พลังสร้างสรรค์ลดลง ภาพรวมผลเสียสำคัญของการไม่ดูแลสภาพร่างกายและจิตใจให้ความสมดุล คือ ร่างกายและจิตใจจะเกิดภาวะถดถอย หรือเรียกง่ายๆ ว่า “เอื่อย” ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
    โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์มากๆ อาจทำให้ต้องใช้เวลาคิดมากกว่าปกติ หรือบางครั้งก็คิดไม่ออกเลยก็ได้
แม้ว่าความไม่สมดุลแห่งชีวิตจะไม่ส่งผลให้เห็นได้ทันที แต่ทว่า ผลดังกล่าวจะเห็นได้ในระยะยาวซึ่งอาจจะช้าเกินกว่าจะแก้ไข ...ดังนั้น ลองหันมาพิจารณาชีวิตประจำวันของตัวเองดูสิว่า มีพฤติกรรมเสี่ยงใดๆ ที่อาจทำให้ชีวิตเอียงซ้ายเอียงขวาหรือไม่ เพื่อความสุข สมบูรณ์ทั้งกายและใจ

วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ดื่มแบบไหน ปลอดภัยกว่า


ฟัน ถือ เป็นปราการด่านแรกของอวัยวะภายในช่องปาก หากฟันมีปัญหา ไม่ว่าจะฟันผุ เสียวฟัน หรือฟันสึก ล้วนทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมาก

นอกจากอาหารการกินแล้ว ในแต่ละวันเราต้องรับเครื่องดื่มหลายชนิดเข้าสู่ร่างกาย แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าวิธีการดื่มแบบใดปลอดภัย และแบบใดมีความเสี่ยงต่อฟันมากกว่ากัน  มาลองดูกันดีกว่า
การซด
เครื่องดื่มจะไหลไปรวมกันที่ผนังปากด้านในหากคุณดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลหรือมีกรดจะทำให้ฟันกรามเสี่ยงต่อการสึกกร่อนมากที่สุด
การจิบ 
เครื่องดื่มจะสัมผัสฟันหน้าโดยตรง ทำให้ฟันหน้าสึกกร่อน แล้วดื่มอย่างไรปลอดภัยที่สุด คำตอบง่ายๆ คือ การใช้หลอดดูด เพราะเครื่องดื่มจะสัมผัสฟันน้อยลง โอกาสที่ฟันจะสึกกร่อนจึงลดน้อยตามไปด้วย

แต่ไม่ต้องตกใจไป  เรามีวิธีป้องกันฟันผุมาฝากเป็นของแถมให้ด้วย
1. บ้วนปากทันทีหลังดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลหรือมีกรด หากไม่สะดวกให้เคี้ยวหมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล หรือชนิดที่มีส่วนผสมของไซลิทอล
2. หลีกเลี่ยงการใช้แปรงสีฟันชนิดแข็ง ควรใช้แปรงสีฟันที่ปลายขนแปรงมนและยาวเสมอกัน  ด้ามจับ
กระชับมือ ยืดหยุ่นไปกับแรงกดขณะแปรงฟันจะช่วยให้ทำความสะอาดฟันได้อย่างล้ำลึกและถนอมเหงือก
อีกด้วย
3.ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุ หากมีอาการเสียวฟันควรใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของเกลือโพแทสเซียมหรือสตอนเทียม
4. ตรวจสุขภาพช่องปากกับทันตแพทย์ทุก 6 เดือน

เห็นไหมคะแม้จะมีปัญหา แต่ก็มีวิธีแก้เสมอ แค่นี้ฟันสุขภาพดีก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป




simple html

"พอร์ไฟเรีย" โรคแบบนี้ก็มีในโลก

ถ้าพูดถึง "ผีฝรั่ง" ที่ป็อปปูลาร์ที่สุดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 - 19 คงต้องยก
ให้ท่านเคาท์แดร๊กคูล่าแวมไพร์มาดเนี้ยบมาเป็นเบอร์หนึ่ง แต่ถ้าเป็นคริสต์
ศตวรรษที่ 20 ตำแหน่งนี้ย่อมตกเป็นของเอ็ดเวิร์ด คัลเลน (Edward Cullen)
แวมไพร์รูปหล่อมาดเซอร์ในภาพยนตร์เรื่อง แวมไพร์ทไวไลท์ อย่างไม่ต้อง
สงสัย

 

ผีดิบดูดเลือด แวมไพร์ ใช่ว่าจะมีอยู่เฉพาะในเมืองฝรั่งเท่านั้นเพราะแม้แต่ในเอเชียบ้านเรา แถบ
ออสเตรเลีย โอเชียเนีย หรือโซนแอฟริกา ก็มีตำนานเรื่องเล่าของผีดิบดูดเลือดเช่นกัน

- จีนมี "เซียงซี" ปีศาจสาวที่ชอบออกล่าเหยื่อตอนกลางคืนเพื่อกินเลือดสดๆ แต่กลัวกระเทียมที่สุด

- ออสเตรเลียมี "ยารา - มา - ยฮา - ฮู" อาศัยอยู่ตามต้นไม้ ชอบจู่โจมกระโดดใส่เหยื่อและดูดกินเลือด

- แอฟริกามี "โอบายิโฟ" สามารถถอดกายออกจากร่างได้เวลาออกล่าเหยื่อ ชอบดูดกินเลือด

- โรมาเนียมี "สตริกอย" แวมไพร์คืนชีพจอมสกปรก มีเล็บมือยาว ผมยาวรุงรัง ใบหน้าซีดจัด ลมหายใจ
เหม็นเปรี้ยว เกลียดกระเทียมและสามารถย้ายวิญญาณไปอยู่ในร่างสัตว์ได้ เช่น นกเค้าแมว สุนัข ฯลฯ

เจอเข้าแบบนี้ คุณเคยคิดกันบ้างหรือเปล่าว่าผีดิบดูดเลือดแวมไพร์อาจไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าปรัมปราหรือ
นวนิยายเขย่าขวัญสั่นประสาทเท่านั้น แต่แวมไพร์ "มีอยู่จริง" บนโลกใบนี้ และกระจายตัวอยู่เกือบทั่วทุกมุม
โลก เพียงแต่ว่าคนสมัยก่อนอาจจะหวาดกลัวและไม่ทันใช้วิจารณญาณคิดพิจารณา ว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นคือ
อะไรกันแน่ ผีตายซากที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา หรือมนุษย์เดินดินทั่วไปที่โชคร้ายป่วยด้วยโรคบางอย่างจนมีบุคลิก
ลักษณะพ้องกับเจ้าผีตายซากพอดิบพอดี
เรื่องราวเหล่านี้เปิดเผยขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1874 โดย ดอกเตอร์ฟีลิกซ์ฮอปป์ - เซย์เลอร์ (Dr.Felix Hoppe - Seyler)
นักเคมีชาวเยอรมัน หลังจากดอกเตอร์ฮอปป์ – เซย์เลอร์ ได้ศึกษาแฟ้มประวัติผู้ป่วยในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ซึ่งล้มป่วยด้วยอาการประหลาด ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกายและจิตใจอย่างหนัก จนผู้ป่วยเป็นที่
น่ารังเกียจระคนน่าหวาดผวาของทั้งครอบครัว แพทย์ พยาบาล และผู้ป่วยด้วยกันเอง
คนไข้บางรายอาการหนักจนถึงขั้นที่ว่า "ไม่อยากส่องกระจกเพื่อดูหน้าตัวเองเลย" ดอกเตอร์ฮอปป์ - เซย์เลอร์
พบว่า เมื่อเริ่มป่วย ร่างกายผู้ป่วยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทีละน้อยๆ บางคนเริ่มแพ้แสงแดด และแพ้หนักขึ้น
เรื่อยๆ จนในที่สุดแม้ถูกแสงแดดเพียงไม่กี่วินาที ผิวหนังจะเกิดอาการคันและเป็นผื่นแดงทันที ก่อนจะลุกลาม
กลายเป็นแผลพุพองในที่สุด บางรายยังมีอาการอักเสบอย่างรุนแรงจนผิวหนังหลุดลอกออกเป็นชั้นๆ อาการ
เหล่านี้ทำให้ผู้ป่วยมีผิวหนังซีดขาวจนน่ากลัว จากนั้นผู้ป่วยจะเริ่มมีขนส่วนเกินขึ้นบริเวณหน้าผาก ขมับ กล้าม
เนื้อบริเวณใบหน้าทั้งหมดจะค่อยๆ ดึงรั้งไปทุกทิศทุกทางจนทำให้เบ้าตา จมูกผิดรูป คนไข้บางรายนอกจาก
ปากจะถูกดึงรั้งจนผิดรูปแล้วริมฝีปากยังถูกดึงรั้งจนหายไป เหลือไว้เพียงช่องปากเท่านั้น เป็นผลให้เห็นเหงือก
ละตัวฟันทั้งหมดอย่างชัดเจน ส่วนเนื้อจมูกก็ถูกดึงรั้งจนแทบไม่หลงเหลือเช่นกัน เว้นไว้แต่พียงรูจมูกเล็กๆ
พอให้หายใจได้เท่านั้น
ผู้ป่วยบางรายกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะแขนขา บางครั้งมีอาการอัมพาต ปวดเกร็งบริเวณช่องท้อง
อาเจียน คลื่นไส้ และท้องผูกร่วมด้วย หนักขึ้นไปอีกขั้น ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการทางจิตประสาทหลอน เพ้อคลั่ง
หัวใจเต้นแรง และอาจมีความผิดปกติทางตับร่วมด้วย
อาการดังกล่าวทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านตลอดทั้งวัน สามารถ
ออกนอกบ้านได้เฉพาะตอนกลางคืน เป็นผลให้ดวงตาผู้ป่วยสู้แสงสว่างไม่ค่อยได้ แต่กลับมองเห็นได้ดีใน
ความมืด มีบางรายงานแจ้งว่า ดวงตาของคนไข้บางรายสามารถเรืองแสงได้ในยามค่ำคืนอีกด้วย อาการป่วย
เหล่านี้เองที่อาจเป็นส่วนหนึ่งให้คนทั่วไปคิดว่า "พวกเขาเป็นแวมไพร์" ยิ่งบางรายที่มีอาการกลัวและเกลียด
กระเทียมร่วมด้วยแล้ว ยิ่งคล้ายคลึงแวมไพร์ไปกันใหญ่
ดอกเตอร์ฮอปป์ – เซย์เลอร์ เก็บตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยทั้งหมดมาทดสอบทางเคมีอย่างละเอียด จึงได้รู้ว่า
"กลุ่มอาการนี้เกิดจากความผิดปกติของกระบวนการสังเคราะห์สารประเภท พอร์ไฟริน (Porphyrins) เช่น ฮีม
(Heme) ในเม็ดเลือดแดง ร่างกายสังเคราะห์ได้มากเกินไป จนทำให้เกิดการสะสมตกค้างเป็นจำนวนมาก เป็น
ผลให้สารดังกล่าวทำร้ายระบบประสาท ระบบเลือด ตับ และไขกระดูกลงอย่างช้าๆ ขึ้นอยู่กับว่ามีการสะสมมาก
น้อยเพียงใด "นอกจากนี้ ส่วนเกินของสารประเภท พอร์ไฟริน ยังถูกขับออกมาทางปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะเป็น
ีม่วงหรือเกือบเป็นสีแดงเข้ม และสีแดงหรือม่วงนี้จะเข้มขึ้นอีกเมื่อได้รับแสงสว่างนานๆ"
ด้วยเหตุนี้ เมื่อผลการศึกษาของดอกเตอร์ฮอปป์ – เซย์เลอร์ ได้รับการยื่นเสนอไปยังแพทยสภา แพทยสภาจึง
มีมติให้เปลี่ยนชื่อจากที่เคยเรียกกันตามอาการมาก่อนหน้านี้ว่า "โรคแวมไพร์" (Vampire Syndrome) เป็นชื่อ
ที่เป็นทางการว่า "โรคพอร์ไฟเรีย" (Porphyria) สอดคล้องกับคำศัพท์ภาษากรีก Porphyrus ซึ่งหมายถึง
สีม่วง อันบ่งบอกถึงสีของปัสสาวะที่เปลี่ยนไป และเป็นปัจจัยแสดงอาการของโรคอย่างชัดเจนนั่นเอง
การศึกษาในชั้นแรกแบ่งโรคนี้ออกเป็น 2 กลุ่มอาการหลัก คือ Acute Porphyria (เป็นอาการทางประสาท จัด
ว่าเป็นชนิดรุนแรง) และ Non - Acute Porphyria (เป็นอาการทางผิวหนัง จัดว่าเป็นชนิดไม่รุนแรง) ซึ่งการ
ศึกษาในเวลาต่อมาได้แบ่งโรคพอร์ไฟเรียออกเป็น 8 กลุ่มตามประเภทของสารพอร์ไฟรินที่ผิดปกติ
แม้จะฟังดูน่ากลัวอยู่บ้างสำหรับโรคนี้ เพราะไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหนเพศใด ก็มีโอกาสป่วยได้เหมือนกัน แต่โชค
ยังดีว่า ผลวิจัยระบุว่าโรคนี้มีความเสี่ยงไม่มากนัก เฉลี่ยอยู่ที่ 1 ใน 10,000 คน สำหรับชนิดไม่รุนแรง และ 1
ใน 1,000,000 คน สำหรับชนิดรุนแรง (Congential erythropoietic porphyria / CEP) อย่างไรก็ดี หากผู้ป่วยทุกกลุ่มอาการได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง โอกาสที่จะอาการจะทุเลาและกลับมาเป็นปกติก็มีอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยในกลุ่ม Non - Acute Porphyria
"โรคแวมไพร์" หรือ "โรคพอร์ไฟเรีย" เป็นโรคที่ดูคล้ายกับเกิดจากเคราะห์กรรมลงโทษโดยแท้ เนื่องจาก
สามารถทำให้มนุษย์ปกติกลายสภาพเป็นเหมือนซากศพเดินได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่ ปี โดยที่เราไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้เลย จะเกิดจากเคราะห์หรือเกิดจากกรรมก็ตามแต่ สำหรับชาวพุทธขอให้เรายึดมั่นในการทำความดีไว้ดีกว่า เพราะผลจากกรรมดีย่อมผ่อนหนักให้เป็นเบา หรือเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้ในที่สุด