วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553

"พอร์ไฟเรีย" โรคแบบนี้ก็มีในโลก

ถ้าพูดถึง "ผีฝรั่ง" ที่ป็อปปูลาร์ที่สุดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 - 19 คงต้องยก
ให้ท่านเคาท์แดร๊กคูล่าแวมไพร์มาดเนี้ยบมาเป็นเบอร์หนึ่ง แต่ถ้าเป็นคริสต์
ศตวรรษที่ 20 ตำแหน่งนี้ย่อมตกเป็นของเอ็ดเวิร์ด คัลเลน (Edward Cullen)
แวมไพร์รูปหล่อมาดเซอร์ในภาพยนตร์เรื่อง แวมไพร์ทไวไลท์ อย่างไม่ต้อง
สงสัย

 

ผีดิบดูดเลือด แวมไพร์ ใช่ว่าจะมีอยู่เฉพาะในเมืองฝรั่งเท่านั้นเพราะแม้แต่ในเอเชียบ้านเรา แถบ
ออสเตรเลีย โอเชียเนีย หรือโซนแอฟริกา ก็มีตำนานเรื่องเล่าของผีดิบดูดเลือดเช่นกัน

- จีนมี "เซียงซี" ปีศาจสาวที่ชอบออกล่าเหยื่อตอนกลางคืนเพื่อกินเลือดสดๆ แต่กลัวกระเทียมที่สุด

- ออสเตรเลียมี "ยารา - มา - ยฮา - ฮู" อาศัยอยู่ตามต้นไม้ ชอบจู่โจมกระโดดใส่เหยื่อและดูดกินเลือด

- แอฟริกามี "โอบายิโฟ" สามารถถอดกายออกจากร่างได้เวลาออกล่าเหยื่อ ชอบดูดกินเลือด

- โรมาเนียมี "สตริกอย" แวมไพร์คืนชีพจอมสกปรก มีเล็บมือยาว ผมยาวรุงรัง ใบหน้าซีดจัด ลมหายใจ
เหม็นเปรี้ยว เกลียดกระเทียมและสามารถย้ายวิญญาณไปอยู่ในร่างสัตว์ได้ เช่น นกเค้าแมว สุนัข ฯลฯ

เจอเข้าแบบนี้ คุณเคยคิดกันบ้างหรือเปล่าว่าผีดิบดูดเลือดแวมไพร์อาจไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าปรัมปราหรือ
นวนิยายเขย่าขวัญสั่นประสาทเท่านั้น แต่แวมไพร์ "มีอยู่จริง" บนโลกใบนี้ และกระจายตัวอยู่เกือบทั่วทุกมุม
โลก เพียงแต่ว่าคนสมัยก่อนอาจจะหวาดกลัวและไม่ทันใช้วิจารณญาณคิดพิจารณา ว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นคือ
อะไรกันแน่ ผีตายซากที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา หรือมนุษย์เดินดินทั่วไปที่โชคร้ายป่วยด้วยโรคบางอย่างจนมีบุคลิก
ลักษณะพ้องกับเจ้าผีตายซากพอดิบพอดี
เรื่องราวเหล่านี้เปิดเผยขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1874 โดย ดอกเตอร์ฟีลิกซ์ฮอปป์ - เซย์เลอร์ (Dr.Felix Hoppe - Seyler)
นักเคมีชาวเยอรมัน หลังจากดอกเตอร์ฮอปป์ – เซย์เลอร์ ได้ศึกษาแฟ้มประวัติผู้ป่วยในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ซึ่งล้มป่วยด้วยอาการประหลาด ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกายและจิตใจอย่างหนัก จนผู้ป่วยเป็นที่
น่ารังเกียจระคนน่าหวาดผวาของทั้งครอบครัว แพทย์ พยาบาล และผู้ป่วยด้วยกันเอง
คนไข้บางรายอาการหนักจนถึงขั้นที่ว่า "ไม่อยากส่องกระจกเพื่อดูหน้าตัวเองเลย" ดอกเตอร์ฮอปป์ - เซย์เลอร์
พบว่า เมื่อเริ่มป่วย ร่างกายผู้ป่วยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทีละน้อยๆ บางคนเริ่มแพ้แสงแดด และแพ้หนักขึ้น
เรื่อยๆ จนในที่สุดแม้ถูกแสงแดดเพียงไม่กี่วินาที ผิวหนังจะเกิดอาการคันและเป็นผื่นแดงทันที ก่อนจะลุกลาม
กลายเป็นแผลพุพองในที่สุด บางรายยังมีอาการอักเสบอย่างรุนแรงจนผิวหนังหลุดลอกออกเป็นชั้นๆ อาการ
เหล่านี้ทำให้ผู้ป่วยมีผิวหนังซีดขาวจนน่ากลัว จากนั้นผู้ป่วยจะเริ่มมีขนส่วนเกินขึ้นบริเวณหน้าผาก ขมับ กล้าม
เนื้อบริเวณใบหน้าทั้งหมดจะค่อยๆ ดึงรั้งไปทุกทิศทุกทางจนทำให้เบ้าตา จมูกผิดรูป คนไข้บางรายนอกจาก
ปากจะถูกดึงรั้งจนผิดรูปแล้วริมฝีปากยังถูกดึงรั้งจนหายไป เหลือไว้เพียงช่องปากเท่านั้น เป็นผลให้เห็นเหงือก
ละตัวฟันทั้งหมดอย่างชัดเจน ส่วนเนื้อจมูกก็ถูกดึงรั้งจนแทบไม่หลงเหลือเช่นกัน เว้นไว้แต่พียงรูจมูกเล็กๆ
พอให้หายใจได้เท่านั้น
ผู้ป่วยบางรายกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะแขนขา บางครั้งมีอาการอัมพาต ปวดเกร็งบริเวณช่องท้อง
อาเจียน คลื่นไส้ และท้องผูกร่วมด้วย หนักขึ้นไปอีกขั้น ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการทางจิตประสาทหลอน เพ้อคลั่ง
หัวใจเต้นแรง และอาจมีความผิดปกติทางตับร่วมด้วย
อาการดังกล่าวทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านตลอดทั้งวัน สามารถ
ออกนอกบ้านได้เฉพาะตอนกลางคืน เป็นผลให้ดวงตาผู้ป่วยสู้แสงสว่างไม่ค่อยได้ แต่กลับมองเห็นได้ดีใน
ความมืด มีบางรายงานแจ้งว่า ดวงตาของคนไข้บางรายสามารถเรืองแสงได้ในยามค่ำคืนอีกด้วย อาการป่วย
เหล่านี้เองที่อาจเป็นส่วนหนึ่งให้คนทั่วไปคิดว่า "พวกเขาเป็นแวมไพร์" ยิ่งบางรายที่มีอาการกลัวและเกลียด
กระเทียมร่วมด้วยแล้ว ยิ่งคล้ายคลึงแวมไพร์ไปกันใหญ่
ดอกเตอร์ฮอปป์ – เซย์เลอร์ เก็บตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยทั้งหมดมาทดสอบทางเคมีอย่างละเอียด จึงได้รู้ว่า
"กลุ่มอาการนี้เกิดจากความผิดปกติของกระบวนการสังเคราะห์สารประเภท พอร์ไฟริน (Porphyrins) เช่น ฮีม
(Heme) ในเม็ดเลือดแดง ร่างกายสังเคราะห์ได้มากเกินไป จนทำให้เกิดการสะสมตกค้างเป็นจำนวนมาก เป็น
ผลให้สารดังกล่าวทำร้ายระบบประสาท ระบบเลือด ตับ และไขกระดูกลงอย่างช้าๆ ขึ้นอยู่กับว่ามีการสะสมมาก
น้อยเพียงใด "นอกจากนี้ ส่วนเกินของสารประเภท พอร์ไฟริน ยังถูกขับออกมาทางปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะเป็น
ีม่วงหรือเกือบเป็นสีแดงเข้ม และสีแดงหรือม่วงนี้จะเข้มขึ้นอีกเมื่อได้รับแสงสว่างนานๆ"
ด้วยเหตุนี้ เมื่อผลการศึกษาของดอกเตอร์ฮอปป์ – เซย์เลอร์ ได้รับการยื่นเสนอไปยังแพทยสภา แพทยสภาจึง
มีมติให้เปลี่ยนชื่อจากที่เคยเรียกกันตามอาการมาก่อนหน้านี้ว่า "โรคแวมไพร์" (Vampire Syndrome) เป็นชื่อ
ที่เป็นทางการว่า "โรคพอร์ไฟเรีย" (Porphyria) สอดคล้องกับคำศัพท์ภาษากรีก Porphyrus ซึ่งหมายถึง
สีม่วง อันบ่งบอกถึงสีของปัสสาวะที่เปลี่ยนไป และเป็นปัจจัยแสดงอาการของโรคอย่างชัดเจนนั่นเอง
การศึกษาในชั้นแรกแบ่งโรคนี้ออกเป็น 2 กลุ่มอาการหลัก คือ Acute Porphyria (เป็นอาการทางประสาท จัด
ว่าเป็นชนิดรุนแรง) และ Non - Acute Porphyria (เป็นอาการทางผิวหนัง จัดว่าเป็นชนิดไม่รุนแรง) ซึ่งการ
ศึกษาในเวลาต่อมาได้แบ่งโรคพอร์ไฟเรียออกเป็น 8 กลุ่มตามประเภทของสารพอร์ไฟรินที่ผิดปกติ
แม้จะฟังดูน่ากลัวอยู่บ้างสำหรับโรคนี้ เพราะไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหนเพศใด ก็มีโอกาสป่วยได้เหมือนกัน แต่โชค
ยังดีว่า ผลวิจัยระบุว่าโรคนี้มีความเสี่ยงไม่มากนัก เฉลี่ยอยู่ที่ 1 ใน 10,000 คน สำหรับชนิดไม่รุนแรง และ 1
ใน 1,000,000 คน สำหรับชนิดรุนแรง (Congential erythropoietic porphyria / CEP) อย่างไรก็ดี หากผู้ป่วยทุกกลุ่มอาการได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง โอกาสที่จะอาการจะทุเลาและกลับมาเป็นปกติก็มีอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยในกลุ่ม Non - Acute Porphyria
"โรคแวมไพร์" หรือ "โรคพอร์ไฟเรีย" เป็นโรคที่ดูคล้ายกับเกิดจากเคราะห์กรรมลงโทษโดยแท้ เนื่องจาก
สามารถทำให้มนุษย์ปกติกลายสภาพเป็นเหมือนซากศพเดินได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่ ปี โดยที่เราไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้เลย จะเกิดจากเคราะห์หรือเกิดจากกรรมก็ตามแต่ สำหรับชาวพุทธขอให้เรายึดมั่นในการทำความดีไว้ดีกว่า เพราะผลจากกรรมดีย่อมผ่อนหนักให้เป็นเบา หรือเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้ในที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น: